ประวัติของต้นปราบใหญ่

       ต้นปราบใหญ่ เป็นพระพุทธเจ้าจักรพรรดิภาคปราบ อยู่ในนิพพาน เสด็จลงมาอยู่ในมนุษยโลก เพื่อมาทำวิชาปราบมาร สืบงานต่อจากหลวงพ่อวัดปากน้ำ แต่แรกที่เสด็จมา อยู่ในดวงแก้วกายสิทธิ์ อันเป็นดวงของจักรพรรดิตรีภพ ก็คิดว่าเป็นจักรพรรดิที่ตรีภพไปอาราธนามา เห็นว่ากายสว่างผิดปกติ จึงไปรายงานหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านลงมาดูเอง ในชั้นต้นหลวงพ่อท่านไม่ได้พูดอะไร ต่อเมื่อหลวงพ่อตรวจดูแล้ว จึงบอกให้เราทราบ ตามที่กล่าวไว้แล้วนั้น

      เรื่องของต้นปราบ ตามที่จะกล่าวต่อไปนี้ จะพูดในส่วนที่ยังไม่ได้กล่าวถึง และพูดได้นอกเหนือไปจากที่หลวงพ่อท่านบอก การได้ยินได้ฟังตามที่หลวงพ่อบอกนั้น ได้กล่าวไว้หมดแล้ว ที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นการสรุปอย่างหนึ่ง และที่ได้ยินต้นปราบท่านกล่าวอย่างหนึ่ง การบ้านที่ค้างไว้ในตอนต้นนั้น ก็คือเรื่องการตัดพ้อต่อว่าระหว่างข้าพเจ้ากับต้นปราบ จะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้

      แต่ว่ามาสรุปย่อกันก่อนว่า ต้นปราบคือ พระพุทธเจ้าจักรพรรดิภาคปราบ ได้มรรคผลนิพพานแล้ว ท่านอยู่ในนิพพาน การที่เสด็จลงมาช่วยข้าพเจ้าทำวิชาปราบมาร ก็เพราะทรงเป็นคู่บารมีของข้าพเจ้า มีบารมีมากกว่าหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกอย่างนั้น พอมาอยู่ได้ไม่นาน หลวงพ่อก็ประกาศวางมือ มอบหน้าที่ปราบมารไห้แก่ต้นปราบ การที่หลวงพ่อทำเช่นนั้น ทำให้ข้าพเจ้าน้ำตาไหล ตามที่กล่าวแล้ว ต่อมาไม่นาน งานปราบมารถึงขั้นลุล่วง ธาตุธรรมถือว่าพระพุทธเจ้าฝ่ายสัมมาทิฏฐิเป็นเอกราชแล้ว จึงประกาศให้วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๓๕ เป็นวันเอกราชของธาตุธรรมภาคขาว ให้ถือว่าวันที่ ๒๗ ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันที่ระลึกถึงองค์ต้นปราบ ซึ่งได้กล่าวไว้แล้ว แต่ที่นำมากล่าวอีก เป็นการสรุปย่อ เพื่อทบทวนความจำ

       เหตุการณ์ของต้นปราบ จะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต ยังคาดการณ์ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องข้างหน้า ทราบแต่ว่างานปราบมารเป็นงานยาก ยากเกินกว่าที่เราคิด สิ่งที่หายากที่สุด ในสากลโลกและในสากลธรรม มีอยู่อย่างเดียวคือ หาคนปราบมารไม่ได้ และงานที่ทำยากที่สุดในสากลโลกและในสากลธรรม ก็คือ งานปราบมาร ไม่มีอะไรยากไปกว่านี้อีกแล้ว

       ธาตุธรรมท่านถือว่า เสียอะไรก็เสียเถิด เรามีจะเสีย เรายินดีจะเสีย ขอให้มารดับหมดก็แล้วกัน

       จะทำอะไรก็ทำเถิด ผิดถูกอย่างไรไม่ว่า ขอให้มารดับหมดก็แล้วกัน

       ไม่ว่าใครทั้งนั้น ไม่ว่าชนชาติใด ภาษาใด หากปราบมารให้ดับได้ คนนั้นเป็นคนที่ธาตุธรรมท่านสรรเสริญ ยกย่อง จะเอาอะไรแก่ธาตุธรรม ธาตุธรรมท่านไม่ว่าทั้งนั้น

       ดังนั้น เรามายกย่องว่าท่านนั้นเก่ง ท่านนี้เก่ง ท่านโน้นวิเศษ ท่านนี้เป็นพระอรหันต์ เป็นความคิดสวนทางกับพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงคิดอย่างเราเลย ท่านจะคิดอย่างไร เป็นสิทธิอันชอบธรรมของท่าน คือ เรามีสิทธิ์ในการคิด

       การที่ต้นปราบเสด็จลงมาทำวิชาปราบมาร ก็แปลว่า พระองค์ทรงตัดสินพระทัยแล้ว เป็นการยอมตายของพระองค์อย่างเด็ดเดี่ยว ผลของสงครามจะลงเอยอย่างไร ไม่ต้องคิดกันแล้ว เพราะตัดสินใจแล้ว เป็นก็รบ ตายก็รบ แพ้ก็รบ ชนะก็รบ ไม่ว่าแพ้หรือชนะ รบอย่างเดียว ไม่ว่าเป็นหรือตาย รบอย่างเดียว ผลของสงครามการรบในธาตุในธรรม คือ การเอาบารมีมารบกัน เป็นเรื่องข้างหน้าเป็นเรื่องของอนาคต ยากต่อการพยากรณ์เหลือเกิน สำหรับข้าพเจ้าที่ทำหน้าที่รบอยู่ก่อนแล้ว ตอบท่านได้ว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบอนาคต เมื่อธาตุธรรมท่านสั่งให้รบ เราก็รบและรบต่อไป ต้นปราบคงจะดูเหตุการณ์ของข้าพเจ้ามานานปี ทนดูไม่ไหว เลยกระโดดลงมาช่วย พูดอย่างเราก็คือ กูเอาด้วยคน น้ำพระทัยของต้นปราบ บูชาเท่าไรก็ไม่คุ้มความดีของพระองค์ ถวายอะไรหมดบ้านหมดเมืองก็ไม่คุ้มทั้งนั้น ข้าพเจ้าเคารพหลวงพ่อวัดปากน้ำมาแล้วองค์หนึ่ง เห็นว่าหลวงพ่อสำคัญที่สุดไม่มีอะไรเท่า ถ้าไม่มีหลวงพ่อองค์เดียว เราจะไม่รู้อนาคตอะไรทั้งนั้น หลวงพ่อต้องมาแก้ไขด้วยการทำวิชาปราบมาร หลวงพ่อสู้มาจนตลอดชีวิต

      หลังจากนั้น งานปราบมารตกเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า และต่อมาองค์ต้นปราบท่านลงมาช่วย ข้าพเจ้าต้องบูชาต้นปราบอีกองค์แล้ว ทรงมีน้ำพระทัยต่อข้าพเจ้า เห็นข้าพเจ้ารบมาอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครช่วย มนุษย์ในโลกไม่มีใครเขารู้ ไม่มีใครเขาเห็น ไม่มีใครช่วย ไม่มีใครอุปถัมภ์ แม้แต่เพื่อนธรรมกายด้วยกัน ยังไม่รู้เห็น เราไปโกรธใครไม่ได้ เพราะมารเขาสกัดไว้หมด ไม่ให้ใครช่วย เพื่อจะให้เราหมดกำลัง แล้วเราก็จะแพ้ไปเอง มารเขาคิดอย่างนั้น เขาทำได้ และเขาทำแล้ว ขณะนี้เขาก็กำลังทำอยู่ ต้องเป็นวิชาชั้นสูงจึงจะรู้ ข้าพเจ้าไม่ถอยหลังเพราะเรารบแล้ว จะมัวห่วงหน้าห่วงหลัง เป็นสิ่งไม่ควรคิด หลวงพ่อเราก็ทำเป็นตัวอย่างมาแล้ว รบจนกระทั่งตาย เราก็ต้องสู้อย่างนั้น ไม่มีทางเลือกอื่น รบอย่างเดียว ใครจะคิดอย่างไรข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่ข้าพเจ้าคิดว่า เราต้องให้ธาตุธรรมท่านปลอดภัยไว้ก่อน หากเราอ่อนแอเพียงคนเดียว อะไรจะเกิดขึ้นแก่ธาตุธรรม นี่คือคำถามที่เตือนตนเองทุกวัน หากเราตายก็เอาถ่าน ๓ ถัง เผาไหม้แล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร หากไปคิดว้าวุ่นอย่างอื่น มารเขาจะได้ช่องทันที ทางที่ดีคือเลิกคิด เลิกเรื่องความร่ำรวย เลิกเรื่องโด่งดัง เลิกเรื่องยศศักดิ์ตำแหน่งหน้าที่ เลิกเรื่องศิษย์คนสำคัญ มารเขาก็ไม่ได้ช่อง มาเจอมวยวัดอย่างข้าพเจ้า มารก็คิดมาก สุดท้ายถูกข้าพเจ้ากับต้นปราบดับหมด แปลว่า เราล้มยักษ์ได้ เมื่อถึงขั้นตอนนั้น ธาตุธรรมจะดีพระทัย พระพุทธองค์ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต นับอสงไขยนิพพานไม่ถ้วน จะทรงดีพระทัยกันทั้งนั้น ที่บรรยายอย่างนี้ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายเกิดกำลังใจ ว่าเราต้องชนะในธาตุทั้งหมดในธรรมทั้งปวง ทุกอย่างต้องเป็นของง่าย ไม่ใช่ของยากอย่างที่ใคร ๆ คิด

      ท่านปรารภว่า วิชาธรรมกายยากทั้งนั้น ต่อไปนี้ไม่ยากแล้ว ข้าพเจ้าทำตำรากำหนดแนวปฏิบัติให้แล้ว ติดตามค้นหามาอ่านได้ ท่านปรารภว่า วิชาปราบมารยากนัก ข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธ แต่ข้าพเจ้าก็ปราบให้แล้ว ทำตำราให้แล้ว ติดตามค้นหาอ่านได้แล้ว อยากได้มรรคผลนิพพาน ต้องเป็นวิชาชั้นสูง หากเป็นอ่อน ๆ ก็ยังยากอยู่นั่นเอง พูดกันให้เปิดใจกันเลย ยังไม่มีใครได้มรรคผลนิพพาน เพราะยังไม่เป็นวิชาธรรมกายชั้นสูงนั่นเอง

      เกจิอาจารย์ดัง ๆ ที่ท่านยกย่องให้เป็นพระอรหันต์ ที่ท่านยกย่องว่าเป็นเลิศ โปรดเข้าธรรมกายไปทูลถามพระพุทธองค์ดูได้ ไม่ยากเลย แล้วท่านก็จะทราบว่า ยังไม่มีใครได้มรรคผลนิพพาน เพียงแต่กำลังเดินทางเพื่อจะไปสู่มรรคผลนิพพานเท่านั้น แต่ระหว่างเดินทางอยู่นี้ โดยเหตุที่มีบารมีธรรมอยู่บ้าง ย่อมจะมีความรู้อะไรแปลก ๆ และมีบุญถึงกับเรียกเงินเรียกทองได้ ก็ต้องว่าเป็นบารมีของท่าน ต้องยกย่องท่าน ข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธ แต่จะถึงกับได้มรรคผลนิพพานนั้น ยังไม่ได้ เพราะการไปนิพพานนั้น ไปโดยธรรมกายเท่านั้น แต่ว่าอินทรีย์ของท่านสงบระงับ ทำท่าจะหมดกิเลสเอา ใครเห็นเข้าก็เหมาว่าหมดกิเลส เลยยกย่องกันใหญ่ เรื่องก็เลยไปกันใหญ่ สร้างค่านิยมกันใหญ่ ฮือฮากันใหญ่ ต้องเป็นธรรมกาย แล้วก็ต้องละสังโยชน์ ให้เป็นไปตามขั้นตอน มันจึงจะถูกตำรา เราอย่าไปเชื่อเสียงกระซิบของกิเลส เพราะกิเลสเป็นตัวสกัดกั้นมรรคผลนิพพาน มันหลอกเรามาอย่างนี้ไม่รู้กี่ชาติกี่ภพแล้ว เราก็ไปรู้จริงในวันตาย แท้จริงเรายังไม่ได้มรรคผลนิพพาน ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าใจในตอนทำวิชาปราบมารนี้เอง พยายามตรวจดูเกจิอาจารย์ดัง ๆ ว่าได้มรรคผลนิพพานตามคำลือ จะได้อาราธนามาช่วยปราบมาร แต่แล้วผิดหวัง วิชาธรรมกายควรเรียนมาแต่เด็กจึงจะดี

       กลับมาถึงเรื่องของตัวเองบ้าง ก็คือเรื่องของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าฝึกหัดอบรมพัฒนาใจ ตามแนววิชาธรรมกายเมื่อตอนเป็นหนุ่ม เมื่อเรียนจบชั้น ม.๖ แล้ว ก็มาศึกษาต่อวิชาการศึกษา สมัยนั้นเขาเรียกว่า เรียนวิชาครู ที่โรงเรียนฝึกหัดครูพระนคร วังจันทร์เกษม หลังกระทรวงศึกษาธิการ หลักสูตรฝึกหัดครูประถม (ปป.) กำหนดเวลา ๓ ปี เมื่อปิดเทอม ข้าพเจ้าไปเรียนภาวนาที่วัดปากน้ำ ทำอยู่อย่างนั้นมาตลอด ๓ ปี ที่เรียนวิชาครูที่กรุงเทพฯ แต่ก็ยังไม่เป็นธรรมกาย เรียนจบหลักสูตร ปป. แล้ว ออกทำงานและศึกษาต่อภาคค่ำ เรียนวิชาทางโลกไปด้วยและเรียนภาวนาไปด้วย ไม่หยุดเลย ทำราชการในกรุงเทพ ฯ คือ เป็นครู ๑๐ ปี ก็ยังไม่เป็นธรรมกาย รวมเวลาฝึก ๑๓ ปี ก็ยังไม่เป็นธรรมกาย ต่อมาเปลี่ยนตำแหน่งราชการจากครูไปเป็นศึกษาธิการอำเภอ ไปทำราชการอยู่ในต่างจังหวัด เพิ่งเป็นธรรมกายในตอนนั้น ที่เล่ามานี้ ต้องการชี้ให้เห็นว่า การฝึกใจต้องฝึกมาแต่เด็กเล็กน้อย เพราะไม้อ่อนดัดง่ายกว่าไม้แก่ ใจของผู้ใหญ่แข็งกร้าน ยากต่อการดัด แม้จะมีศรัทธาเรียน แต่การฝึกจะไม่ได้ผล เพราะความแข็งกร้านของใจนั่นเอง ความคิดที่ว่าเอาไว้ฝึกเมื่อแก่ เอาไว้ฝึกเมื่อเกษียณราชการแล้ว เป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง

       โปรดคิดไว้เสมอว่า ไม่มีอะไรยากไปกว่าการฝึกใจ ใจเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ฝึกยากพัฒนายาก ต้องทำมาตั้งแต่เด็กเล็กแดง เหมือนการฝึกยิมนาสติกอย่างไรก็อย่างนั้น ข้อมูลที่เราพบเสมอคือ เด็กเห็นธรรมกาย แต่ผู้ใหญ่ทำไม่ได้ เรานึกอายเด็ก ทั้งที่ผู้ใหญ่มีความรู้ดีกว่า มีเหตุผลดีกว่า เข้าใจวิชาดีกว่า ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะเหตุผลตามที่กล่าวนั้น ข้าพเจ้าเสียใจในชะตาของตัวเอง ที่ไม่มีกำลังทรัพย์ หากข้าพเจ้ามั่งมีเหมือนคนอื่น ก็จะตั้งโรงเรียนสอนวิชาธรรมกาย รับตั้งแต่ เด็กทีเดียว สืบต่อไปถึงชั้นประถม และต่อไปถึงชั้นมัธยม เราก็จะได้ธรรมกายระดับปรมาจารย์ ระดับหลวงพ่อวัดปากน้ำทีเดียว แต่มารเขารู้ล่วงหน้า เขาจะไม่ให้โอกาสเรา เราจะพบเสมอว่า รวยแต่ไม่มีสมอง มีสมองแต่ไม่มีเงิน มารเขาไม่โง่ถึงกับจะให้คนอย่างเรามีกำลัง เพราะการที่ทำให้วิชาธรรมกายเจริญขึ้นมาได้ ก็แปลว่า ธรรมภาคมารหมดอำนาจปกครอง ธรรมจะชนะอธรรม พระจะชนะมาร กุศลจะชนะอกุศล บุญจะชนะบาป ความดีจะชนะความชั่ว ดังนั้น งานพัฒนา วิชาธรรมกายจึงทำได้ยากแสนยาก ยังไม่เคยมีประวัติว่า วิชาธรรมกายไปได้ยืนนาน แม้ในสมัยของพระบรมศาสดาเองก็เช่นกัน วิชาธรรมกายคือวิชาที่พระบรมศาสดาได้ทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชานั้น พอวิชานี้สู่พระทัยของพระองค์ พระองค์ก็ประกาศว่า พระองค์คือพระพุทธเจ้า กายมนุษย์ของพระองค์คือ พระพุทธเจ้า ธรรมกายของพระองค์ยืนยันอย่างนั้น ถ้าไม่เป็นธรรมกาย ก็ไม่มีอะไรยืนยันความรู้ทั้งปวงที่ได้รู้ได้เห็น ธรรมกายเป็นผู้บอก คิดเป็นปิฎกได้ถึง ๓ ปิฎก เรียกว่า ไตรปิฎก คิดเป็นบทเรียนได้ ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ พระพุทธองค์ทรงเรียนอะไร ก็ตอบว่า เรียนวิชาธรรมกาย สาวกของพระองค์ก็เรียนวิชาธรรมกาย แต่วิธีสอนนั้น ทรงสอนไม่เหมือนกัน ทรงสอนไปตามจริตของบุคคล แต่เนื้อหาของวิชาแล้ว เหมือนกันหมด อย่างเช่นการกำหนดนิมิต ใครมีจิตใจแข็ง ทรงยกเอากสิณ ๑๐ ขึ้นเป็นนิมิต เลือกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ใครมีจิตใจโหดร้าย ทรงยกเอาอสุภคือศพ ๑๐ เป็นนิมิต ใครมีจิตโลภเห็นแก่กินเห็นแก่ได้ ทรงยกเอาอาหาเรปฏิกูลขึ้นเป็นนิมิต ใครมีสภาพใจอ่อน ทรงยกเอาพรหมวิหาร ๔ เป็นนิมิต ใครเจ้าปัญญา ทรงยกเอาอนุสสติ ๑๐ เป็นนิมิต ใครช่างนึกตรึกตรองก็เอาธาตุ ๔ ใครที่สภาพใจว่างอยู่แล้ว ก็เอาอรูปฌานเป็นนิมิต ต่อเมื่อเป็นธรรมกายแล้ว จึงเรียนหลักสูตรวิชาธรรมกายแท้ คือ เรียนเรื่อง ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ อริยสัจ ปฏิจจสมุปบาท ต่อเมื่อละสังโยชน์ได้ จึงจะได้มรรคผลนิพพาน


อ่านเพิ่มเติมใน >>> ปราบมาร ภาค 2 หน้า 65