หลวงปู่ชั้ว โอภาโส
เป็นญาติของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ได้มาศึกษาวิชาธรรมกายกับหลวงพ่อ มีอายุมากกว่าหลวงพ่อ เป็นชาวสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เรื่องแปลกก็คือ ตำบลสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้องนี้ มีนักปราชญ์เกิดที่เดียวกัน ๓ ท่าน คือ หลวงพ่อวัดปากน้ำ สมเด็จป๋า หลวงปู่ชั้ว
ผมรู้จักหลวงปู่ชั้วตั้งแต่ครั้งเป็นเด็กวัดอยู่บ้านนอก ครั้นผมมาเรียนวิชาครูในกรุงเทพ และได้มาศึกษาวิชาธรรมกายที่วัดปากน้ำ ได้มาพบหลวงปู่ชั้วที่วัดปากน้ำเข้าอีก ช่วงเวลาที่พบหลวงปู่ที่วัดปากน้ำนั้น ผมยังเป็นครูหนุ่ม ๆ ทำความเพียรแล้ว แต่ยังไม่เป็นธรรมกาย และไม่ทราบว่าหลวงปู่เป็นธรรมกายด้วย แต่เห็นหลวงปู่นั่งสมาธิตั้งแต่ครั้งอยู่บ้านนอกแล้ว หลวงปู่พูดถึงเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ ๒ เรื่อง เรื่องส่วนตัวที่หลวงปู่พูดแก่ผม ๑ เรื่อง ผมฟังแล้วไม่รู้เรื่องและไม่ได้ใส่ใจ มานึกได้ก็ต่อเมื่อ ผมทำวิชาปราบมาร
เรื่องที่ ๑ เรื่องพี่เลี้ยงหลวงพ่อวัดปากน้ำ
หลวงปู่เล่าว่า พี่เลี้ยงของหลวงพ่อชื่อยายบู่ วันใดจันทร์เพ็ญ พอหลวงพ่อเห็นดวงจันทร์ หลวงพ่อจะร้องเอาดวงจันทร์ คุณยายพี่เลี้ยงต้องแก้ไขโดยเอาไม้กระทู้มาพาดที่ชายคาบ้าน แล้วคุณยายขึ้นไต่ไม้กระทู้นั้นขึ้นไปทำเป็นว่าจะหยิบดวงจันทร์มาให้ แต่หยิบดวงจันทร์ไม่ได้เกินไขว่คว้า ไม้กระทู้ที่ยาวกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว หลวงพ่อจึงหยุดร้องไห้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้หลวงพ่อไม่หยุดร้อง
เรื่องที่ ๒ เรื่องเหตุการณ์ก่อนที่หลวงพ่อตัดสินใจทำวิชาปราบมาร
หลวงพ่อเล่าให้หลวงปู่ฟังเอง ก่อนที่หลวงพ่อจะตัดสินใจทำวิชาปราบมารนั้น ตรึก นึก ตรอง ใคร่ครวญอยู่ ๘ ปี ว่าจะทำหรือไม่ทำ มารเขามาต่อรองว่า ไม่ทำได้ไหม ถ้ารับคำว่าไม่ทำวิชาปราบมาร เขาจะให้คนสำคัญมาอยู่ปฏิบัติหลวงพ่อ ๗ วัน หลวงปู่ถามหลวงพ่อว่า แล้วหลวงพ่อตกลงกับเขาอย่างไร หลวงพ่อบอกว่า ถ้าเราทำอย่างนั้นก็เหมือนหนูเห็นถังข้าวสาร
หลวงปู่เล่าต่อไปว่า ต้นธาตุทรงรับสั่งว่า วิชาปราบมารที่หลวงพ่อทำนั้น ต้องใช้เวลา ๒๕ ปี จึงจะชนะ จบเรื่องที่หลวงปู่เล่า
เรื่องที่ ๓ เป็นเรื่องส่วนตัวของหลวงปู่พูดกับผู้เขียน
หลวงปู่ต้องการสร้างบารมีเป็นพุทธภูมิ ถ้าหลวงปู่ตายไป หลวงปู่จะรีบลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีเพิ่มเติม เพราะยังมีศาสนาอยู่ “ไอ้ครู คอยดูหลวงปู่ด้วยนะ” คำว่าไอ้ครู หมายถึง เรียกผู้เขียน ท่านเรียนผู้เขียนว่า ไอ้ครู เพราะตอนนั้นผู้เขียนเป็นครูโรงเรียน ฟังแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจ ผู้เขียนไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ยิ่งใช้คำว่าพุทธภูมิ ยิ่งไม่รู้กันใหญ่ ฟังไปอย่างนั้นเอง
เหตุการณ์ผ่านมาหลายปี จนถึงปีที่ผมทำวิชาปราบมาร เรื่องราวที่หลวงปู่พูดไว้ดังก้องแก่ใจผม ผมนึกถึงหลวงปู่อีกครั้งหนึ่ง ระลึกถึงความหลังครั้งผมเป็นครูหนุ่มๆ เหตุใดหลวงปู่จึงบอกให้เราดูแลท่าน
หลวงปู่ต้องเป็นธรรมกายระดับแก่กล้า จึงกล้ากล่าววาจาเช่นนั้นแก่ผม แปลว่า รู้กาลข้างหน้า การทำวิชาปราบมาร วิชาถึงกันหมดไม่ว่าที่ใด ๆ วิชาเราไปถึงทั้งนั้น ไม่ว่าใครอยู่ที่ไหน เราต้องไปพบได้ทั้งหมด หลวงปู่ฉลาดมาก เป็นภาระที่เราต้องดูแลท่านตลอดไป เพราะท่านได้ขอร้องไว้ตั้งแต่ครั้งอยู่ในโลก ไม่มีใครปรารภแก่เราอย่างนี้ แม้แต่แม่ชีถนอม อาสไวย์ อาจารย์ของผมก็ยังไม่ปรารภอย่างนี้ และไมเคยมีใครปรารภแก่ผมทั้งนั้น มีหลวงปู่ชั้วปรารภไว้รูปเดียวเท่านั้น เป็นภาระที่เราต้องดูแลท่านตลอดไป เพราะท่านได้บอกแก่เราไว้แล้ว
ส่วนเหตุการณ์ก่อนทำปราบมารของผมไปอีกแนวหนึ่ง ไม่มีมารมาตกลงอะไร ไม่เหมือนเหตุการณ์ของหลวงพ่อ ก่อนจะรู้ตัวว่าต้องปราบมาร เกิดความร้อนรนใจ ใจคอหงุดหงิด อยากเลิกเรียนวิชาธรรมกาย และประกาศปิดสำนักเรียน หยุดสอนชั่วคราว เพราะความไม่สบายใจ คนที่เคยมาเรียนกับผม เขาก็หยุดไป วันหนึ่งมาคิดว่า การบอกปิดสำนักนั้นไม่ชอบด้วยเหตุผล ผู้คนที่เขามาเรียนล้วนแต่เป็นกำลังในการเผยแพร่วิชาธรรมกาย ช่วยหาเงินพิมพ์หนังสือและเป็นอุปการะเรื่องอื่นๆ เมื่อเราปิดสำนักแล้ว เขาจะไปเรียนที่ไหน จึงเปิดสำนักใหม่ คนก็มาเรียนตามเดิม การทำวิชาคราวนี้แปลกกว่าทุกคราว เรื่องที่เราไม่เคยเห็น เราก็ได้เห็น วิชาที่เราไม่รู้ก็รู้วันนี้ โดยเฉพาะรู้เรื่องการปราบมาร ว่าเป็นไปอย่างไรมาอย่างไร แต่ก็ไม่ได้ตัดสินใจ เพราะยังโต้แย้งกันอยู่ ผมปฏิเสธเสียงแข็ง เสนอว่าผู้ปราบมารควรเป็น แม่ชีถนอม อาสไวย์ อาจารย์ของผม ขณะนั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่แยกกันอยู่ ผมไปเป็นผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดจันทบุรี แม่ชีอยู่ที่จังหวัดอ่างทอง และเสนอผู้อื่นอีกหลายท่าน ธาตุธรรมไม่ทรงฟังผมเลย จะรวบหัวรวบท้ายเอาแก่ผมสถานเดียว ผมได้แต่น้ำตาไหล เสียใจเป็นกำลัง เพราะเราไม่รู้อะไรกับเขา เป็นวิชาแบบงู ๆ ปลา ๆ เป็นนักปฏิบัติสมัครเล่น ไม่ใช่ผู้ทรงศีล มีกิเลสร้อยแปด ไม่เห็นมีอะไรดีสักอย่าง ฐานะความเป็นอยู่และอะไรทั้งหลาย ไม่ได้เรื่องทั้งนั้น จะกราบเรียนเท่าไรธาตุธรรมไม่ทรงรับฟัง ผมไม่ได้รับคำ เพียงแต่ลองเดินวิชาดูก่อน นับแต่วันเข้าพรรษาปี ๒๕๒๗ ติดต่อมาจนบัดนี้ การทำวิชาปราบมารไม่ได้หยุดเลย ผมจึงมีความเห็นว่า การทำวิชาปราบมารควรทำให้เป็นหลาย ๆ คน จึงได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น
เรื่องกำหนดเวลาทำวิชาปราบมาร ตามที่หลวงปู่เล่า บอกว่าทำ ๒๕ ปีจะชนะ แท้จริงแล้ว หลวงพ่อทำวิชารบมากกว่า ๓๐ ปี จนกระทั่งหลวงพ่อมรณภาพ งานปราบมารจึงยังค้างอยู่
อ่านเพิ่มเติมใน >>> ปราบมาร ภาค 1 หน้า 84