ธรรม ๓ ฝ่ายในใจเรา

      เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก กว่าจะรู้ชัดก็ต่อเมื่อเป็นธรรมกายชั้นสูงแล้ว รู้ได้เห็นด้วยญาณของธรรมกาย เท่านั้น อย่างอื่นรู้เห็นไม่ได้เลย ที่ใจของสัตว์โลกทั้งปวง มีธรรม ๓ ฝ่ายปกครอง จึงทำให้ใจของเรา แปรปรวน บางครั้งก็ดี บางครั้งไม่ดี บางจังหวะเฉย ๆ เป็นกลางๆ คือ

      ๑. ภาคบุญ (ภาคพระ, ภาคกุศล, ภาคขาว)
      จังหวะใดใจเราแช่มชื่น อยากทำบุญ เจริญภาวนา เกิดความสว่างเห็นมรรคผล จังหวะนั้นภาคบุญส่งผลให้ ธรรมภาคบุญ เป็นธรรมกายสีขาว ดวงธรรมก็ขาวและใส มีรัศมีสว่างโชติ

      ๒. ภาคบาป (ภาคมาร, ภาคอกุศล, ภาคดำ)
      โอกาสใด ใจเราขุ่นมัว อยากก่อเวร พยาบาท มีโลภะ โทสะ โมหะ มีแต่ความมืดไม่เห็นธรรม โอกาสนั้น ภาคบาปส่งผลให้ ธรรมภาคบาปเป็นธรรมกายสีดำ ดวงธรรมก็ดำเป็นนิล

      ๓. ภาคกลาง (อัพยากตาธัมมา)
       เวลาใดใจเราเฉยๆ บุญไม่อยากทำบาปก็ไม่สร้าง แปลว่า ธรรมภาคกลางส่งผล ธรรมภาคกลางหรือ  ภาคอัพยากตาธัมมา ธรรมกายของเขาสีตะกั่วตัด ดวงธรรมก็สีอย่างนั้น บางทีก็ด่างๆ ดำๆ เอานิยายไม่ได้

      ธรรม ๓ ฝ่าย เกี่ยวข้องกับตัวเรา เพราะเขาอยู่ใน “ใจ” ของเรา เราอยู่ใต้อำนาจปกครองของเขา
      ถ้าเราทำใจสงบระงับ ทำใจหยุด ทำใจนิ่ง เราก็อยู่ในปกครองของภาคพระ จะมีแต่ความสุข
      ความเจริญ เห็นธรรม เห็นมรรคผล สงบและมีสุคติเป็นทางไป
      แต่เป็นเคราะห์กรรมของเรา ใจไม่สงบ มีแต่โลภะ โทสะ โมหะ พยาบาท จองเวร เราก็อยู่ภายใต้ปกครองของมาร จะเกิดความเสื่อม แก่ เจ็บ ตาย พลัดพราก มืด บอด ไม่เห็นธรรม ไม่สว่าง มีทุคติเป็นทางไป
      ส่วนประเภทที่บุญไม่ทำ กรรมไม่สร้าง อยู่เฉยๆ ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ประเภทนี้ก็ไปทุคติด้วย
      ธรรม ๓ ฝ่าย เป็นข้าศึกต่อกัน ไม่ถูกกัน
      หน้าที่ของเราคือ ทำใจให้ใส ทำใจให้หยุด อยู่ฝ่ายสัมมาทิฏฐิไว้ อย่าทำใจอยู่ฝ่ายมิจฉาทิฏฐิ

งานของพระ – งานของมาร นั้นต่างกัน

ภาคพระก็มีพระพุทธเจ้า ภาคมารก็มีพระพุทธเจ้า
ต่างฝ่ายต่างมีพระพุทธเจ้า
มีหน้าที่ปกครองสัตว์โลก ด้วยกันทั้งคู่
มีหน้าที่ปกครอง ต่างกัน
ใครถูกพระปกครอง ก็รอดตัว
ใครถูกมารปกครอง ก็เคราะห์ร้าย

        งานของพระ

         มีหน้าที่ให้สัตว์โลกพ้นทุกข์ ให้พ้นจากเวียนว่ายตายเกิด ให้เป็นสุข ให้ร่มเย็น สงบระงับ สว่างเห็นธรรม ได้มรรคผล เห็นถูก จำถูก คิดถูก รู้ถูก ไปสุคติ

        งานของมาร

         มีหน้าที่ให้สัตว์โลกเป็นทุกข์ ให้เวียนว่ายตายเกิด เร่าร้อน ไม่สงบระงับ มืดบอด เจ็บ ตาย พลัดพราก ข้าวยากของแพง ฝนแล้ง เหี้ยนเตียน ภัยวิบัติ สงคราม ให้เรียนกัมมัฏฐานผิด จึงเห็นผิด จำผิด คิดผิด รู้ผิด พบดวงดำที่ใดให้ละลายทันที พบธรรมกายดำที่ใด ให้ละลายทันที เพราะเขาจะนำทุกข์มาให้

         เรารู้บทบาทของพระและมารเพื่ออะไร ก็เพื่อให้หันเหใจออกจากภาคมาร ให้พ้นจากการปกครองของเขา ด้วยการทำใจให้ใส ให้เป็นธรรมกายภาคขาว จะได้พ้นจากการปกครองของมาร

วิชาของมาร

        วิชาของมาร มี ๒ อย่าง คือ

๑. วิชาทั่วไปของมาร
๒. กัมมัฏฐานของมาร

         ท่านทราบดีแล้วว่า วิชาของมารเรียนแล้วใจไม่สงบ ใจกำเริบ อยากก่อกรรมทำเข็ญ อยากลองดี มักอ้างว่า เรียนไว้เพื่อป้องกันตัว เรียนไปแล้วมีแต่จะทำให้ตัวเองทรุดโทรม ไม่ช้าก็เร็ว แรกๆ ทำท่าจะดี ต่อไปก็เสื่อม วิชาทั่วไปของเขาก็คือ

๑. ไสยศาสตร์ เวทมนตร์ อาคมขลัง

๒. ปลุกเสกยันต์ เลขยันต์

๓. ปลุกตัว ปลุกหัวใจต่างๆ

๔. ทำเสน่ห์ สักตามตัว

๕. ทรงเจ้า เข้าผี

๖. ยาสั่ง บิดไส้ บังควัน ควายธนู

๗. น้ำมันพลาย ขี้ผึ้งเสน่ห์ ฯลฯ

         คาถาก็ดี คำสวดก็ดี มักอ้างบารมีพระพุทธเจ้า เราหลงเชื่อว่าบารมีพระพุทธเจ้า และอานุภาพ พระพุทธเจ้าจริง แท้จริงแล้ว พระพุทธเจ้าฝ่ายสัมมาทิฏฐิ ท่านไม่เล่นด้วย แต่พระพุทธเจ้าฝ่ายมิจฉาทิฏฐิ เขาสนับสนุนทันที ใครไปเล่นวิชาเหล่านี้เท่ากับเป็นฐานทัพให้มารแผ่อาณาจักร บ้านเมืองของเราจึงเต็มไปด้วย อวิชชา เพราะเราไปหลงเชื่อเดรัจฉานวิชา เห็นได้ทั่วไป

        วิชาที่ละเอียดไปจากนั้น ได้แก่วิชากัมมัฏฐาน อันเป็นวิชาที่ใช้ความละเอียดของใจ เขาจะหาทาง บ่ายเบนใจ ไม่ให้เดินถูกทางได้ ให้เราตั้งใจผิดไปจากศูนย์กลางกายเสมอ เพราะถ้าให้ถูกศูนย์กลางกายแล้ว มนุษย์ก็จะได้มรรคผลกันหมด ดังนั้น ถ้าท่านสำรวจให้ดี จะพบว่า กัมมัฏฐานที่กำหนดไจไว้ที่ศูนย์กลางกายนั้น แทบไม่มีเลย มารมาพลิกเห็น จำ คิด รู้ของเราเสียหมด ให้กำหนดใจไว้ในที่ต่างๆ กัน

        แต่มารเขาก็เก่งพอตัว ทั้งที่เราทำไม่ถูก แต่เขาก็ให้เราเชื่อความไม่ถูกของเราได้ วิธีของเขาก็คือ เปิดสมบัติให้ ให้คนมานิยมกันมากๆ ให้เลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์ เราก็เชื่อวิธีการของเรายอดเยี่ยม เพราะทำไปแล้ว ได้โน่นได้นี่ เห็นอยู่กับตา แต่แล้วเรากลับไม่ได้มรรคผลจริง คือ เมื่อเกจิอาจารย์ผู้นั้นตายไป ตรวจดูด้วยรู้ และญาณของธรรมกาย ก็พอทราบได้ว่าเกจิอาจารย์เหล่านั้นไปสู่สวรรค์เท่านั้น ไม่ไปนิพพานตามลัทธิวิธีของ ตนเสียแล้ว มักจะเป็นอย่างนี้ เรายังเก่งไม่เท่าเขา เพราะเขายังต้มเราได้ ทั้งที่เรารู้อยู่

        ถ้าเขาไม่เก่งจริง สัตว์โลกจะแก่ เจ็บ ตาย ได้อย่างไร แม้พระพุทธองค์เขายังมากำหนดวันตายให้ ครั้นถึงกำหนด พระพุทธองค์ก็ต้องเข้านิพพาน ตามที่เขากำหนดนั้น

        ทุกวันนี้ เราเห็นของปลอมและของจริง มีพระจริง ก็ต้ฮงมีพระปลอม จนเราไม่ทราบว่า องค์ไหน องค์จริง องค์ไหนองค์ปลอม เพราะดูไปก็เห็นเหมือนกันทั้งรูปร่างและขนาด เกี่ยวกับเรื่องนี้ มารเขาเก่งมาก พระพุทธเจ้าภาคบุญค้นวิชชาได้ พระพุทธเจ้าภาคมารเขาก็มาลบ มาแปรเปลี่ยนโดยเฉพาะวิชชากัมมัฏฐาน พระพุทธเจ้าภาคบุญ ค้นพบที่ตั้งของใจว่าอยู่ศูนย์กลางกาย พระพุทธเจ้าภาคมารเขาก็มาเปลี่ยน เป็นที่ หน้าผาก ที่หน้าอก ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ซอกคอ ฯลฯ แม้คำว่า “อานาปานัสสติ” ความหมายที่แท้ ก็ให้ใจกำหนดรู้ว่า ลมหายใจเข้า ไปหยุดที่ไหน และลมหายใจออก ตั้งต้นออกที่ตรงไหน ที่หยุดของลม คือ ศูนย์กลางกาย ให้เอาใจไปตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายนั้น เพราะศูนย์กลางกายเป็นที่ตั้งของปฐมมรรค เป็นมรรคเบื้องต้น เป็นบาทของมรรคอื่นจะได้เดินมรรคผลกันถูกต้อง ในที่สุดจะบรรลุ “ธรรมกาย”

         มารมาดลใจอีก เข้าใจไปว่า อานาปานัสสติ เป็นการกำหนดลมหายใจเข้า กำหนดลมหายใจออก ให้ลมเข้าเป็น “พุธ” ลมออกเป็น “โธ” ใจเราก็วิ่งเข้าวิ่งออกตามลมเข้าลมออกอยู่อย่างนั้น จึงเข้าไม่ถึง ปฐมมรรค เมื่อไม่ถึงปฐมมรรคเราก็เดินมรรคผลไม่ถูก แพ้มารเขาอีก จึงขอสรุปว่า วิชาของมาร ๒ อย่างนั้น ทั้งวิชาทั่วไปมีอะไรบ้าง และวิชากัมมัฏฐานมีการกำหนดใจ อย่างไร ขอให้เรารู้จักไว้ เราจะได้ทราบว่า อะไรควรเว้น อะไรควรเรียน และอะไรควรให้การสนับสนุน เพื่อให้อวิชชาสูญไปจากโลก ถ้าเราไม่ช่วยกันในทางที่ชอบ ก็จะเข้าทำนอง น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟอยู่นั่นเอง


อ่านเพิ่มเติมใน >>> หนังสือผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ตถาคตคือธรรมกาย หน้า 39