ท่านลืมแล้วหรือ? โบราณสอนว่า ฤๅษีผอม แต่เราเป็นฤๅษีอ้วน นี่คือพลาดแล้ว!
“ฤๅษีผอม” หมายความว่า นักบวชหรือนักพรตต้องผอม ไม่ใช่ร่างกายผอม ผอมในความหมายนี้คือยากจน ขัดสน ผู้ที่มีคือนักบวชร่ำรวยไม่ได้ เราบวชก็เพื่อขัดเกลากิเลส ไม่หยิบเงินไม่ไยดีเงิน แต่เราบวชเพื่อหาเงิน บวชเพื่อเอาผ้าเหลือง มาสร้างค่านิยม คนเชื่อผ้าเหลือง แล้วก็ออกอุบายหาเงินด้วย วิธีต่าง ๆ จนมีข่าวดังออกไปว่า เอาเงินไปเล่นแชร์ เอาเงินไปเล่นหุ้น เอาเงินไปซื้อที่ดิน พฤติกรรมเช่นนี้ไม่เข้าหลักฤๅษีผอม สุดท้า เงินก็ทำลายนักบวช ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน แต่เป็นมรรคผลแห่งความหายนะ!
เมื่อเงินเข้ามือ ความหลงตัวเกิดขึ้น แต่เราไม่รู้ การละเมิดวินัยจะเกิดขึ้น เราไม่ทันสังเกตแล้วภารกิจจะหนักมือ จนเราไม่ว่างจะปลงอาบัติ สุดท้ายบารมีก็หลุดไป มารเขาฉลาด เขาเองเงินมาล่อ เอายศมาให้ เอาอำนาจมาประเคน ไม่นานเกินคอย จบเห่ด้วยประการฉะนี้ทั้งนั้น เพื่อนเอ๋ย!
ท่านที่เป็นธรรมกายต้องระวัง! มารเขาจ้องอยู่แล้ว อย่าลืมคำโบราณที่ว่า ฤๅษีผอม ท่องไว้! จำไว้! ถ้าเห็นว่าเราจะครองสภาพความเป็นพระสงฆ์ไม่ได้ ศีลก็ไม่รักษา วินัยสงฆ์ก็ไม่ระวัง ทั้งยังยินดีในเงิน ออกอุบายหาเงินด้วยวิธีต่าง ๆ อ้างว่าเป็นบุญใหญ่ อ้างต่าง ๆ ให้คนเชื่อ ผู้คนเขาเชื่อผ้าเหลือง เขาก็เอาเงินมาเทให้ แค่นั้นยังไม่พอใจ ยังวิ่งเต้นให้ได้มาในยศศักดิ์ เอาเงินไปแลก วิ่งเต้นให้ได้ตำแหน่งให้ได้อำนาจ ไม่สนใจอบรมจิตใจให้ห่างกิเลส มีความต้องการสารพัด แล้วจะห่างกิเลสได้อย่างไร? ถ้าเข้าลักษณะนี้ แปลว่ามารได้ช่องแล้ว เขาจะประเคนให้เราทั้งนั้น เราหลงว่าเกิดจากบารมีแต่ปางหลังของเรา และหลงว่าเกิดจากวิชาธรรมกายของเรา เป็นการเข้าใจผิดของเรา ที่แท้จริงนั้น!มารเขาเป็นผู้จัดให้ โดยเขาแฝงตนอยู่เบื้องหลัง โดยเราไม่รู้ไม่เห็น ส่วนที่มารได้รับคืออะไร? ไม่มีใครรู้ทั้งนั้น! ข้าพเจ้าเพิ่งรู้เมื่อทำวิชาปราบมารไปแล้ว ๑๐ กว่าปี ระหว่าง ๑๓-๑๔ ปีนี่เอง
ทำไมมารเขาทำอย่างนั้น? นี่คือคำถามที่ใคร ๆ อยากรู้ ข้าพเจ้ารู้ก็เพราะธาตุธรรมท่านบอก ท่านที่ทำวิชาไม่ถึง แม้จะเรียนมา ๑๐๐ ปี ท่านก็ไม่รู้อยู่ดี ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็จะรู้ได้ ต้องทำวิชาปราบมาร ต้องฟันฝ่า ต้องบากบั่น ต้องมักน้อย ต้องอดทน นี่คือความประพฤติส่วนตัว เรื่องสำคัญก็คือ การทำวิชาธรรมกาย หลักมีอยู่ว่า วิชาต้องไม่เพี้ยน ถ้าวิชาเพี้ยนแล้ว มารเขาได้ช่องทันที แล้วเราจะพลาด หากพลาดแล้วแก้ตัวไม่ได้ เพราะเกิดการเสียหายใหญ่หลวง
การที่มารเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเขามีส่วนได้ ส่วนเสียไม่มี มีแต่ได้สถานเดียว ถามว่าได้อะไร? ตอบว่าได้บารมี เงินที่ได้มานั้น มารเขาถือว่าเขาเป็นผู้จัดหาให้ ดังนั้น บารมีที่เกิดนั้น ต้องเป็นของเขาส่วนหนึ่ง เหมือนกับเราเป็นผู้จัดการนักมวย นักมวยของเราเป็นแชมเปี้ยนโลก เมื่อนักมวยของเราชก เราในฐานะเป็นผู้จัดการก็รับเงินก้อนใหญ่ ดังที่เราเห็นในทุกวันนี้
คราวนี้กลับมาพิจารณาเรื่องการสร้างบารมีของผู้เป็นธรรมกายบ้าง ตรวจสอบบ้างหรือเปล่าว่าเงินที่ได้ อำนาจวาสนาที่มี ใครเป็นผู้กำกับอยู่หลังฉาก ถ้าภาคขาวท่านจัดให้ก็น่าอนุโมทนา แต่ถ้ามารเขากำกับ บารมีก็ตกเป็นของเขา โดยที่พระพุทธองค์พูดไม่ออก ตัวเราเองหลงว่าได้บารมี ที่แท้บารมีหยาบเราได้ ส่วนบารมีละเอียด มารเขารับไป นี่คือความรู้ลึก! ไม่มีใครรู้เลย! ที่ข้าพเจ้ารู้ได้ก็เพราะธาตุธรรมท่านบอก หมายความว่าวิชาเราละเอียดไปถึงกรณีเช่นนั้นแล้ว ธาตุธรรมจึงบอก ถ้าไม่ถึงก็ไม่บอก มันยากอย่างนี้ ขอให้เข้าใจว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องความรู้สึก เรียนกันมา ๑๐๐ ปีจะมีรู้เรื่องสักคนไหม? ตำราของข้าพเจ้ามีคุณค่าสูง ท่านทั้งหลายได้อ่านครบทุกเล่มแล้วหรือยัง? ความรู้อย่างนี้เรียนรู้ที่ใดไม่ได้ในโลกนี้
ท่านจะเห็นว่า การเดินทางสร้างบารมีของผู้เป็นธรรมกายนั้น ไม่ง่าย! ยากและมีอุปสรรค เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกท่านต้องเรียนรู้ เพราะมารเขาจ้องอยู่แล้ว ท่านต้องระวังเส้นทางของมรรคผลนิพพานไม่ง่าย มีขวากหนาม ท่านต้องระวัง ถ้ามีแต่ธรรมภาคขาวอย่างเดียวก็ไม่มีปัญหา แต่มีภาคมารคอยสกัดเส้นทางของเราในทุกรูปแบบ เพื่อให้มรรคผลนิพพานมีอุปสรรค เป็นเรื่องที่นักสร้างบารมีต้องเรียนรู้ เพื่อจะได้ระวังตัวไว้
อ่านเพิ่มเติมใน >>> ปราบมาร ภาค 4 หน้า 106