ชีวิตของเราไม่พอแก่การปฏิบัติธรรม

      “สว่างแล้วหรือ ทำไมสว่างเร็วนัก ยังปฏิบัติธรรมไม่ได้แค่ไหนเลย ก็สว่างเสียแล้ว เดี๋ยวก็วัน เดี๋ยวก็คืน โอ้ ! ชีวิตของเราไม่พอแก่การปฏิบัติธรรม ชีวิตของเราสั้นนัก

      นี่คือ คำอุทานของหลวงพ่อ

      อุบาสิกาถนอม อาสไวย์ เป็นผู้เล่า วันหนึ่งคืนหนึ่งหลวงพ่อไม่ได้นอนเลย ใช้เวลาจำวัดเพียง ๒ ชั่วโมงเท่านั้น ควบคุมการปฏิบัติธรรมตลอด พอท่านสั่งวิชาเสร็จ ท่านจะบอกว่า ขอนอนหน่อยหนึ่งแล้ว ท่านจะหลับทันที พวกเรานอนแล้ว แต่ไม่หลับ เราอยากหลับแต่ไม่หลับ ไม่รู้ว่าหลวงพ่อท่านทำอย่างไร หากท่านปรารถนาจะหลับแล้ว เป็นต้องหลับได้ทันทีทันใด

      อุบาสิกาถนอม อาสไวย์ เล้าด้วยความภาคภูมิว่า หลวงพ่อเป็นแบบอย่างที่ดีทุกเรื่อง ทำวัตรเย็นทำวัตรเย็นและให้โอวาทพระเณร หลวงพ่อไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียว ก่อนเข้าอุโบสถต้องปลงอาบัติทุกครั้งแล้วเทศน์ พอเสร็จจากเทศน์ หลวงพ่อคุมวิชาพวกเรา กวดขันจนพวกเรากระดิกตัวไม่ได้เลย เอาจริงเอาจังตลอดเวลา ใครทำวิชาได้ดีหลวงพ่อชมเชย หากใครตอบวิชาไม่ได้ หลวงพ่อจะให้แก้ตัว ๓ ครั้ง หาก ๓ ครั้งแล้วยังไม่ได้อยู่อีก ท่านจะถามคนต่อไป หลวงพ่อท่านถามป้าปุกเรื่องต้นหว้ารักษาชมพูทวีป ป้าปุกไม่ตอบ บังเอิญหลวงพ่อมาถามฉัน ฉันก็ตอบหลวงพ่อตามที่ฉันเห็น ฉันเห็นอย่างไรฉันก็พูดอย่างนั้น บังเอิญแท้ ๆ ที่ตอบถูก หลวงพ่อชอบใจ

      พอพวกเรารู้ว่า หลวงพ่อบันเทิงอารมณ์ ศิษย์ทั้งหลายมาขอเงินกันใหญ่ หลวงพ่อเซ็นให้ทั้งนั้น เอาลายเซ็นไปเบิกเงินจากไวยาวัจกร คือ โยมประยูร สุนทารา วันนั้นโยมประยูร จ่ายเงินไม่น้อย หากตอบความรู้วิชาธรรมกายถูกแล้ว วันนั้นต้องได้เงินใช้ หากตอบความรู้ไม่ได้แล้ว หลวงพ่ออารมณ์ไม่บันเทิง ไม่พอใจในความพากเพียรของลูกศิษย์

      นี่คือประวัติมุมหนึ่ง ที่รุ่นครูอาจารย์ของเราศึกษาเล่าเรียนวิชาธรรมกายกับหลวงพ่อ

      อีกองค์หนึ่ง ที่นั่งหลับตาทำความเพียรทั้งคืน คือ หลวงปู่ชั้ว โอภาโส หลวงปู่ชั้วเป็นคนบ้านเดียวกับ หลวงพ่อ เห็นท่านที่ไหน ท่านจะอยู่ในอิริยาบถเจริญภาวนาเสมอ เคยถามท่าน ท่านก็ตอบว่า คืนกับวันมันสั้นนัก ยังไม่จุใจหลวงปู่

      พูดถึงความหลังรุ่นเกจิอาจารย์ ข้าพเจ้ามีโอกาสดีมาก ที่ได้รู้จักและได้รับความรู้จากท่าน เช่น อุบาสิกาญาณี ศิริโวหาร คุณฉลวย สมบัติสุข แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น ท่านเจ้าคุณภาวนาโกศลเถระ (พระมหาเจียก) สุดท้ายก็อุบาสิกาถนอม อาสไวย์ เกจิอาจารย์เล่านี้ เด่นกันไปคนละอย่าง มีความเก่งไม่เหมือนกัน ทุกท่านไม่รังเกียจข้าพเจ้า ทุกท่านบอกความรู้แก่ข้าพเจ้า จนเรารับไม่ไหว เกินปัญญาที่เราจะเรียน เราเรียนไม่ไหว มันยากไปหมด ยิ่งเรียนก็ยิ่งไม่รู้ เหตุใดชีวิตของข้าพเจ้าจะต้องมาวนเวียนกับเกจิอาจารย์เหล่านี้ ทั้งที่เราก็รับราชการ เรามีราชการที่ต้องทำ แต่ชีวิตของผมจะต้องโคจรมาพบเกจิอาจารย์หัวกะทิทั้งนั้น เหตุใดชีวิตของเราจะต้องมาพบอย่างนี้

      นี่คือประเด็น ถามตัวเองมานานแล้ว ถามแล้วก็ตอบไม่ได้

      เพิ่งตอบคำถามได้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๗ นี่เอง

      การได้พบเกจิอาจารย์ฝีมือธรรมกายชั้นครูทั้งปวงนั้น ธาตุธรรมในนิพพานท่านจัดคิวให้ทั้งนั้น ท่านเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง โดยที่เราไม่รู้ เนื้อหาสาระก็คือ ต้องการให้ข้าพเจ้าปราบมาร ก่อนที่จะปราบต้องให้มาพบเกจิอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญวิชาธรรมกายเสียก่อนเป็นการปูพื้นฐานความรู้ เป็นการมารู้ข้อมูลเบื้องต้น เกจิอาจารย์ท่านจะถ่ายทอดวิชาอะไรและเรื่องราวอะไร เราก็รับฟังโดยดี จำความรู้จำเรืองราวเท่าที่จะทำได้

      ที่ข้าพเจ้าแปลกใจว่า ทำไมเกจิอาจารย์ท่านดีกับเราเหลือเกิน ก็เพิ่งทราบในตอนที่ทำวิชาปราบมาร

      สุดท้าย ข้าพเจ้าก็รับเละ คือ ถูกธาตุธรรมท่านให้ทำวิชาปราบมาร ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นต้นมา ตราบเท่าทุกวันนี้ เนื้อหาสาระงานปราบมารเป็นอย่างไรนั้น ขอให้ท่านอ่านหนังสือ ปราบมารภาค ๑-๒-๓ ซึ่งได้พิมพ์เผยแพร่ไปแล้ว หากท่านอยากทราบเรื่องราว โปรดติดตามอ่าน

อ่านเพิ่มเติมใน >>> หนังสือคติธรรม คตินิยม การดำเนินชีวิตของหลวงพ่อวัดปากน้ำ หน้า 36