การเรียนวิชาธรรมกายนั้น ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของแต่ละคน
ความสำคัญอยู่ที่การวางรากฐานความรู้ หากพื้นฐานความรู้เพี้ยนมาแต่ต้นแล้ว ก็จะเพี้ยนตลอดไป เพราะมารเขาจะตามประกบเพื่อให้ความรู้ของเราคลาดเคลื่อนอยู่แล้ว ประเด็นสำคัญอยู่ที่มารเขาคอยแทรกซ้อนความรู้ เพราะเป็นการแย่งชิงอำนาจปกครองกัน พวกเราไม่รู้ชั้นเชิงของมาร ทำให้เราหลงตัวเองได้ง่าย ๆ ดูตัวของข้าพเจ้าเองเป็นตัวอย่างก็ได้
ประวัติการเรียนวิชาธรรมกายของข้าพเจ้า ได้กล่าวแล้วในหนังสือ “ปราบมารภาค ๑” ว่าเรียนมาอย่างไร? เรียนมาจากใคร? ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้ว สรุปแล้วก็เรียนมาจากแม่ชีทองสุข สำแดงปั้น ต่อมาชีวิตราชการของข้าพเจ้าต้องไปทำงานต่างจังหวัด ในตำแหน่งของศึกษาธิการอำเภอ ไปเป็นศึกษาธิการอำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ได้พบแม่ชีถนอม อาสไวย์ ตั้งสำนักสอนวิชาธรรมกายอยู่ในท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง ข้าพเจ้าไปพบท่าน ไปเยี่ยมเยือนและทำความคุ้นเคยกับท่าน ในฐานะที่เรียนวิชาธรรมกายด้วยกัน
แม่ชีถนอม อาสไวย์ ถามข้าพเจ้าว่าเรียนมาอย่างไร? ก็เล่าให้ท่านฟัง และท่านขอร้องให้ข้าพเจ้าเล่าถึงการเดินวิชาด้วย พอจบการเล่าถึงวิชา ท่านก็พูดว่า ความรู้ไม่ผิด แต่ว่าเพี้ยนไป! ขอให้ข้าพเจ้าตั้งต้นเรียนใหม่ ให้ถูกแนวของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าจำได้ว่า ข้าพเจ้าไม่เชื่อเพราะเรียนมาอย่างฝังใจ เรียนมานาน แต่ก็ไม่แสดงออกอะไร? อยู่มาวันหนึ่ง ท่านให้ข้าพเจ้าเดินวิชา๑๘ กายให้ท่านดู แล้วท่านก็แก้ไขวิชาให้ฟังทั้งหมด ตรงไหนเพี้ยน? ตรงไหนถูก? รวมความว่าข้าพเจ้าต้องไปเรียนแบบตั้งต้นกอไก่ใหม่ทั้งหมด
การทบทวนความถูกต้องทางวิชา ทำได้ไม่เท่าไร? ก็ปรากฏเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นแก่ชีวิตของข้าพเจ้า อยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้ามาจนถึงวันนี้ เหตุการณ์นั้นก็คือ ท่านเจ้าคณะจังหวัดอ่างทอง คือพระวิฑิตธรรมภาณ สมณศักดิ์เจ้าคุณสามัญในปีนั้น อยู่วัดต้นสน อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง มอบหมายให้ข้าพเจ้าไปสอนการทำภาวนาแก่พระสงฆ์ที่มาอยู่ปริวาสกรรมที่วัดของท่าน มีจำนวนพระสงฆ์ถึง ๔๐๐ รูป ข้าพเจ้าเหงื่อแตก! เพราะข้าพเจ้าไม่เคยสอน! ไปปฏิเสธไม่รับเชิญต่อท่านแล้ว แต่ท่านเจ้าคณะจังหวัดฯ ท่านไม่ยอม เนื่องจากจังหวัดไม่มีวิทยากร ข้าพเจ้าจึงไปสอนโดยที่ข้าพเจ้าไม่มีความมั่นใจ พองานนี้ผ่านไป เลยเป็นเหตุให้จังหวัดต่าง ๆ เชิญข้าพเจ้าไปสอน ติดต่อกันมาไม่ขาดสาย มีการรวมพระสงฆ์ที่จังหวัดใด? ท่านมักจะเชิญข้าพเจ้าไปสอน รวมเวลาสอนแล้วไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี
ถ้าแม่ชีถนอม อาสไวย์ ไม่ปรับปรุงความรู้ที่ถูกต้องให้ ข้าพเจ้าก็ยังเดาไม่ออกว่า ผลการสอนจะออกมารูปใด? จำได้ว่าพอแม่ชีถนอมท่านขัดเกลาความรู้ให้แล้ว ข้าพเจ้าสอนได้และแก้โรคได้ด้วย ในเรื่องแก้โรคนั้น ข้าพเจ้าทำไปได้อย่างไรไม่ทราบ? ได้เงินมาจำนวนหนึ่งจากผู้ที่หายโรค ข้าพเจ้านำเงินนั้นมาทำห้องน้ำ ทำครัวถวายแม่ชี ยังจำได้ว่า ท่านพระครูอุปถัมภ์ฯ (อาจารย์สงัด แห่งวัดปากน้ำ ขณะนี้มีสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณชั้นเทพ มีราชทินนามว่า “พระเทพโกศลฯ” ได้ส่งไม้กระดานไปช่วยข้าพเจ้าสร้างครัวให้แก่แม่ชีด้วย
นี่คือความทรงจำที่ข้าพเจ้าจำได้
บัดนี้ ข้าพเจ้าคิดได้ว่า ถ้าไม่มีแม่ชีถนอม อาสไวย์ ข้าพเจ้าคิดว่า วันนี้ข้าพเจ้าคงอธิบายความรู้วิชาธรรมกายของหลวงพ่อทุกหลักสูตรไม่ได้ วันนี้คงไม่มีเรื่องปราบมารแล้วหนังสือปราบมารทุกภาคก็เกิดขึ้นในโลกไม่ได้
นี่คือคุณของแม่ชีถนอม อาสไวย์ ซึ่งข้าพเจ้าถือว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาธรรมกายไม่มีใครมีประวัติเหมือนท่าน
แสดงให้เห็นว่า วิชาธรรมกายเรียนมาจากหลวงพ่อด้วยกัน ได้ยินได้ฟังได้รับคำสอนมาอย่างเดียวกัน แต่เราผู้รับความรู้ ตีความไม่เหมือนกัน จึงเข้าใจแตกต่างกัน เข้าใจตรงกันบ้างไม่ตรงกันบ้าง ปฏิบัติตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง จึงมีการถ่ายทอดความรู้ไปตามความเข้าใจของเรา นี่คือข้อเท็จจริงที่เราได้พบ ข้าพเจ้าจึงขอเตือนว่า การเรียนวิชาธรรมกายขึ้นอยู่กับโชควาสนาของแต่ละบุคคล ใครคือผู้วางรากฐานความรู้ที่ถูกต้องให้แก่เรา? นี่คือเนื้อหาสาระที่เราต้องทำความเข้าใจ
เพราะวิชาธรรมกายเรียนยาก มารเขาคอยจะหาโอกาสให้เพี้ยนได้เสมอ เพราะมารเขาคอยจังหวะจะแย่งอำนาจปกครอง เขาจะหาจังหวะเข้ามาแทรกซ้อนในวิชา หากเขาทำได้แปลว่า เขาได้อำนาจปกครอง เพราะเหตุนี้เราจะพบเสมอว่า พวกเรายึดถือเอาความเพี้ยนเป็นความถูกต้อง ข้าพเจ้าจึงกำชับให้ทุกท่านยึดตำราให้แม่นไว้ เพราะวิชาธรรมกายคือความรู้ชั้นสูงในศาสนา หากวิชาเพี้ยนจะส่งผลให้มรรคผลนิพพานล่มสลายได้ง่าย ข้าพเจ้าได้มารู้เห็นในตอนทำวิชาปราบมารนี้เอง
ดังนั้น ความรู้ที่ได้รู้เห็นจากการทำวิชาปราบมารนั้น เป็นความรู้ที่มีคุณค่ายิ่ง
เราจะได้ใครมาเป็นผู้วางรากฐานความรู้ที่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้มาก บางท่านไม่เหมาะแก่การเป็นวิทยากร บางท่านไม่เหมาะแก่การเป็นผู้นำ ใครเป็นผู้เข้าถึงวิชาที่แท้? เป็นเรื่องที่เราต้องคิดให้มาก
อ่านเพิ่มเติมใน>>> ปราบมาร ภาค 5 หน้า 58