วิชาธรรมกายคือวิชาที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชา
หลังจากที่พระพุทธองค์ปรินิพพานได้แล้ว 500 ปี
วิชาธรรมกายก็สูญไปจากโลก
เนื่องจากพระสงฆ์ไม่ศึกษาเล่าเรียนสืบทอดกัน
ถามว่า เมื่อวิชาธรรมกายสูญไปจากโลก
เกิดความเสียหายอะไรแก่มนุษย์บ้าง? จงอธิบาย
วิชาธรรมกาย คือสื่อแห่งการเห็น หากวิชาธรรมกายสูญไป มนุษย์ก็หมดสื่อแห่งการไปเห็น นั่นคือ เราไปเห็นญาติของเราที่ตายไปแล้วไม่ได้ เราไม่เห็นสวรรค์ ไม่เห็นทิพย์-พรหม-อรูปพรหม ไม่เห็นอายตนะนิพพาน ไม่เห็นพระพุทธองค์ ไม่เห็นทุคติภูมิ (คือ นรก อเวจี โลกันต์)
หากวิชาธรรมกายสูญไป ผลร้ายต่อมนุษย์คือ มรรคผลนิพพานยิ่งห่างไกลออกไปทุกทีและทุกที โอกาสแห่งมรรคผลนิพพานสิ้นสุดลงแล้ว การสร้างบารมีเป็นไปได้ยาก หากเราเป็นวิชาธรรมกาย จะทำให้การสร้างบารมีรวดเร็ว ได้บุญมาก ได้บุญรวบยอดทันใด สอนใครให้เขาเห็นดวงปฐมมรรคเพียงคนเดียว เราได้บุญเท่ากับบวชพระสงฆ์หนึ่งหมื่นรูป หากสอนให้ใครทำวิชา 18 กายได้ เราได้บุญเท่ากับบวชพระสงฆ์ 4 หมื่นรูปทีเดียว วิชาธรรมกายช่วยให้เราสร้างบารมีได้แบบรวบยอด รวดเร็ว ทันใด หากเราไม่เป็นธรรมกาย เกิดมาแล้วไม่รู้กี่ชาติ บวชแล้วตายและตายแล้วบวช ก็ยังได้บารมีไม่เท่าไรเลย นี่คือการเปรียบเทียบให้เห็นว่า ไม่เป็นวิชาธรรมกายแล้ว สร้างบารมีได้ล่าช้ายิ่งนัก
ไม่เป็นธรรมกาย เราก็ติดต่อกับนิพพานไม่ได้เลย การไปมาหาสู่ระหว่างเรากับพระพุทธองค์สิ้นสุดลง การติดต่อระหว่างเรากับทิพย์-พรหม-อรูปพรหม สิ้นสุดลง เพราะขาดสื่อเสียแล้ว มารเขาก็ได้ท่าอย่างทันใด เขาถือว่าเขาดับวิชาธรรมกายได้แล้ว มารก็ข่มมนุษย์ได้ทุกรูปแบบ ข้าวยาก ของแพง ฝนแล้ง ล้มตาย เกิดสงคราม เกิดภัยธรรมชาติต่าง ๆ เกิดโรคต่าง ๆ ทุกข์ร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เพราะอะไรจึงเป็นไปเช่นนั้น? ก็เพราะว่ามารเขาทำวิชาปกครองได้ฝ่ายเดียว เราไม่ได้ทำวิชาป้องกันตัว เนื่องจากวิชาธรรมกายของเราดับเสียแล้ว เราอยู่ในฐานะหมดทางสู้ด้วยประการทั้งปวง
คนทุศีล โจรร้าย จะได้เป็นใหญ่ คนใจบุญสุนทาน จะถูกรังแก ถูกกดขี่ข่มเหง เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะคนทุศีลก็ดี โจรร้ายก็ดี เป็นฐานทัพให้มาร การทุศีล การเลวทรามกรรมร้ายทั้งปวง เป็นธรรมของมาร เขาจึงเป็นสาวกของมาร เขาเป็นเชื้อสายให้แก่มาร มารเขาก็มาอาศัยเป็นฐานทัพขยายวิชาปกครอง นั่นเอง
(จากหนังสือคู่มือวิทยากรเอง หน้า 53)
ธรรมกายคืออะไร
ธรรมกายคือ พระปฏิมากร (พระพุทธรูป) เกตุดอกบัวตูม ขาวและใส ประดุจเพชร รัศมีโชติ
ธรรมกาย เป็นตัวพระรัตนตรัย
รัตนะ แปลว่า แก้ว ตรัย แปลว่า สาม
รัตนตรัย แปลว่า แก้ว ๓ ประการ เป็นแก้วขาวและใส มีชีวิตจิตใจ พูดได้ เคลื่อนไหวได้ เป็น “แก้วเป็น” ไม่ใช่แก้วตายเหมือนอย่างแก้วน้ำขวดน้ำ หรือกระจกที่ขายตามตลาด แก้วน้ำขวดน้ำกระจกตามตลาด เป็นแก้วตายเพราะไม่มีชีวิตจิตใจ พูดไม่ได้เคลื่อนไหวไม่ได้
ที่ว่า รัตนตรัย เป็นแก้ว ๓ ประการ คือ
๑. องค์ธรรมกาย เป็นแก้วขาวและใส องค์ธรรมกายเป็น พุทธรัตนะ
๒. ดวงธรรม ในท้องของธรรมกาย มีลักษณะเป็นดวงแก้วขาวและใส คือ ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็น ธรรมรัตนะ
๓. ใจ ขององค์ธรรมกาย คือ เห็น จำ คิด รู้ ของธรรมกาย พูดให้ง่าย ความรู้สึก นึก คิด ของธรรมกาย เป็น สังฆรัตนะ
ใครเห็นธรรมกายในท้องของตนผู้นั้นชื่อว่า “เข้าถึงพระรัตนตรัย”
๔. ในสุตตันตปิฎก พระพุทธองค์ทรงรับสั่งแก่สามเณรวาเสฏฐ์ ว่า “ตถาคตสฺ เหตํ วาเสฏฐา อธิวจนํ ธมฺมกาโย กิติปิ ฯ”
(สามเณรวาเสฏฐ์ ธรรมกาย คือ ตถาคต)
ในธรรมบท พระพุทธองค์ทรงรับสั่งแก่พระวักลิว่า “โย โข วกฺกลิ ธมฺมํ ปสฺสติ โสมํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ”
(ภิกขุวักกลิ ผู้ใดเห็น ดวงธรรม ผู้นั่นชื่อว่า เห็นเรา)
เมื่อรวม พุทธวัจนะทั้งสองเข้าด้วยกัน สรุปได้ว่า “ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือธรรมกาย”
พุทธวัจนะดังกล่าว ถ้าเขียนติดไว้ที่บ้านหรือที่ใด ก็จะเป็นสิริมงคลแก่ที่แห่งนั้น เป็นกุศลไพศาลด้วย เพราะใครอ่านเข้า เขาก็จะท่องจำในใจ จดจำพุทธวัจนะสำคัญไว้ได้ สืบต่อกันไป นานแสนนาน
“ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ตถาคตคือธรรมกาย”
“ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือธรรมกาย”
(จากหนังสือ ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต หน้า 32)