การคำนวณดวงบุญและการอธิษฐานบารมี
ดวงบุญ เป็นความรู้ขั้นปรมัตถ์ ยากที่ใคร ๆ จะแสดงได้ ในบาลีมีหลักฐานปรากฏไว้น้อยนัก เพราะเป็นของเห็นได้ยาก ผู้แสดงจึงไม่รู้จะเอาความรู้ที่ไหนมาพูด เรื่องนี้จึงเป็นของยากกันสืบมา
แต่ด้วยรู้และญาณธรรมกาย เราสามารถเห็นได้ แม้ไม่ละเอียดตลอดนัก
แต่ก็พอคุยกันได้บ้าง ซึ่งรายละเอียดอันเป็นความรู้ชั้นสูง จะได้กล่าวในบทอื่น บทนี้
เรามาพูดกันว่า เมื่อเราทำบุญเสร็จแล้ว เจริญภาวนาเสร็จแล้ว เราจะคำนวณดวงบุญ
ของเราเป็นหรือไม่ จะนำไปฝากใคร ที่ไหน ขอให้ท่านตั้งใจจดจำ
ลักษณะของดวงบุญ
เป็นดวงแก้ว ขาวและใส พระพุทธเจ้าทรงประทานให้แก่ ผู้บำเพ็ญทุกกรณี ตามขีดขั้นแห่งความดีนั้น ผู้ใดตั้งใจมาก ดวงบุญจะใหญ่ ท่านที่ตั้งใจน้อย ดวงบุญจะเล็ก
ดวงบุญนี้เกิดมาตั้งแต่กายพระอรหัตต์ละเอียด ถอยหลังเรื่อยมาจนถึงกายมนุษย์
เมื่อดวงบุญเกิดขึ้นในกายใด ธรรมกายซึ่งรักษาดวงบุญของกายนั้น ทำหน้าที่เป็นผู้เก็บรักษา
ดวงบุญอยู่ที่ดวงปฐมมรรคของกายทุกกาย พูดกันแค่นี้ก่อน รายละเอียดความพิสดารรอไว้พูดกันในบทอื่น
ลักษณะของดวงบาป
เป็นดวงดำประดุจนิล พระพุทธเจ้าภาคมารให้แก่ผู้ทำบาป ทุกกรณี ตามขีดขั้นของความชั่วนั้น ใครตั้งใจทำบาปมาก ดวงบาปจะใหญ่ และถ้าไม่ตั้งใจ ดวงบาปจะเล็ก
ดวงบาปนี้ เกิดมาตั้งแต่พระอรหัตต์ละเอียดแต่เป็นธรรมกายดำ ถอยหลังเรื่อยมาจนถึงกายมนุษย์
เมื่อดวงบาปเกิดขึ้นในกายใด ธรรมกายสีดำ ซึ่งรักษาดวงบาปของกายนั้น มีหน้าที่เป็นผู้เก็บรักษา
ดวงบาปอยู่ที่ดวงปฐมมรรคของกายทุกกาย
ดวงไม่บุญไม่บาป
ไม่ใช่บุญและก็ไม่ใช่บาป เป็นกลาง ๆ คำพระท่านเรียกว่า อัพยากตาธัมมา ดวงเป็นสำตะกั่วตัด บางทีอาจเป็นดวงดำๆ ด่างๆ ธรรมกายก็มีสีอย่างนั้น
ประเภทนี้ได้แก่ บุญไม่ทำและกรรมเวรก็ไม่ได้สร้าง จะเกิดดวงไม่บุญไม่บาปทันที อยู่ที่ดวงปฐมมรรคของกายทุกกาย รายละเอียดก็มีนัยเดียวกัน ตามที่กล่าวในเรื่องของดวงบุญดวงบาปนั้น
วิธีดูดวงบุญ ดวงบาป ดวงไม่บุญและไม่บาป
ดูที่ดวงปฐมมรรคของกายทุกกาย ส่งใจนิ่งกลางดวงปฐมมรรค หยุดนิ่งกลางดวงธรรมให้เห็น “กลาง” เมื่อกลางว่างและหายไป จะเห็นดวงขาวใสอยู่ขวา คือดวงบุญ ดวงกลางเป็นสีตะกั่วตัด คือดวงไม่บุญไม่บาป ดวงซ้ายเป็นดวงดำ คือดวงบาป
หยุดนิ่งลงไปกลางดวงทั้งสาม จะเห็นผู้รักษา ผู้รักษาเป็นธรรมกาย ดวงบุญมีผู้รักษาเป็นธรรมกายสีขาว ดวงไม่บุญไม่บาป มีผู้รักษาเป็นธรรมกายสีตะกั่วตัด ดวงบาป มีผู้รักษาเป็นธรรมกายดำประดุจนิล
ผู้รักษาเหล่านั้น มีต้น กลาง ปลาย อ่อน แก่ หยาบ และละเอียด เถา ชุด ชั้น ตอน ภาค พืด จองถนน พิสดาร ปาฏิหาริย์ ทับทวี ฯ
ธาตุธรรมทั้งสามเป็นอริกัน ไม่ถูกกัน ต่างฝ่ายต่างคิดวิชามา
สู้กัน โดยเฉพาะภาคขาวกับดำ รบกันในธาตุในธรรมมาตลอด
ภาคกลางนั้นเชื่อไม่ได้ ใครชนะก็มาสมทบด้วย
ต่างฝ่ายต่างยึดอำนาจปกครองสัตว์โลก อำนาจปกครองมี 2 อำนาจ คือ ปกครองย่อย ได้แก่ ปกครองมนุษยโลก สัตว์โลก อากาศโลก ขันธโลก ทิพย์ พรม อรูปพรหม ปกครองใหญ่ ได้แก่ อำนาจปกครองธาตุธรรม คือ ปกครองพระพุทธเจ้า
สัตว์โลกที่มีใจหยุดนิ่ง ใจขาว ใจใส ประกอบการบุญเว้นการบาป แปลว่า อยู่ในปกครองของภาคขาว จะมีแต่ความสุขความเจริญ มีดวงตาเห็นธรรม ได้มรรคผล แต่ถ้าใจไม่หยุดไม่นิ่ง ใจขุ่น ทำแต่การบาปไม่ทำบุญ แปลว่า อยู่ในปกครองของมาร จะมีแต่ความเดือดร้อน เป็นทุกข์ ข้าวยากหมายแพง รบราฆ่าฟัน ทำสงคราม ฝนแล้งเหี้ยนเตียน แม้จะเรียนกัมมัฏฐาน ก็เป็นกัมมัฏฐานภาคมาร คือ แนวที่ไม่ตั้งใจที่ศูนย์กลางกาย ตั้งใจนอกศูนย์กลางกายทั้งหมด จะตั้งที่ใดก็ตาม ถ้าไม่ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางกาย แปลว่า เป็นตำรับของมารทุกตำรับ ไม่เห็นดวงปฐมมรรค ไม่เห็นกายละเอียดของตน ไม่เห็นธรรมกาย มรรคผลไม่ในกัมมัฏฐานตำรับเหล่านั้น เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะมารมันบ่ายเบนใจของเราเสียหมด ให้เดินนอกเห็นนอกร่ำไป เรียนไปเถิด กี่ปีกี่ชาติ ไม่ถึงพระรัตนตรัย เพราะตั้งใจผิดที่ เราก็ผิดไปตลอดชีวิต ซ้ำยังให้คนรุ่นหลังเดินทางผิดตามไปด้วย
มารมันเก่งเหลือเกิน ขนาดไหนจึงว่า “เก่ง” ลองพิจารณาดูเถิด มีสัตว์โลกตนใดบ้าง เกิดมาแล้ว ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ต้องแก่ เจ็บ ตาย ทั้งนั้น มารมันทำวิชาซ้อนไว้ในสัตว์โลกอย่างหนาแน่นและแน่นแฟ้น ถามว่า เขาทำวิชาอะไรไว้บ้าง อันนี้ต้องพูดกันยาว รอไว้หลักสูตรชั้นสูง ท่านจะทราบเอง ถ้าไม่เป็นธรรมกายไปรู้เห็นงานของเขาไม่ได้เลย
ดังนั้น มารมันจึง “หวง” วิชาธรรมกายนัก กว่าจะเป็นแต่ละคน ทำความเพียรกันแทบหืดขึ้นคอ แต่มันก็เก่งเหลือเกิน แม่แต่กัมมัฏฐานผิดๆ มันยังทำให้เชื่อวิชาของมันได้ เจ้าไม่เชื่อหรือ ข้าเปิดสมบัติให้เจ้า เจ้าก็เงียบ พอเราเรียนกัมมัฏฐานประเภทนั้น เพียงช้างกระดิกหู ลาภสักการะวิ่งมาหาเราแล้ว เราก็เชื่อว่าวิชาของอาตมายอด ดูเอาซี ทำเดี๋ยวนี้ได้ผลทันตาเห็น อยากได้อะไรก็ได้ ไม่ใช่แค่นั้น จะเอายศหรือ จะเอาตำแหน่งหรือ ข้าให้เจ้าได้ แต่มรรคผลคือ ธรรมกายข้ายอมไม่ได้ เพราะถ้าเกจิอาจารย์ที่มีบารมีสูงไปเห็นธรรมกายเข้า ก็ย่อมเกิดรู้เกิดญาณไปเห็นงานของมาร ที่เขาทำแก่สัตว์โลก เกจิก็ต้องคิดทางแก้ และจะต้องไปสู้รบกับเขาในธาตุในธรรม ดังนั้น เขาก็ต้องหาวิธีหลอกเรา ไม่ให้เจอธรรมกาย โดยการเอาเมืองมาล่อ เอาบ้านมาให้ เอาลาภมาประเคน ซึ่งลาภเหล่านั้น ก็คือ บารมีของท่านเอง บุญท่านเอง ท่านได้บำเพ็ญไว้แต่ปางหลัง เป็นของท่าน เป็นสมบัติของท่าน เพียงแต่เขาไม่ขวาง ไม่ระเบิด ไม่ย่อยแยก มารมันทำเพียงแค่นี้ ท่านก็คารวะวิชาของมันอย่างศิโรราบ พอวันตายมาถึง เราก็ทราบชัดวันนั้น ว่าเราไม่ได้มรรคผลตามความเชื่อในวิชาของเราเสียแล้ว เป็นอย่างนี้ร้อยทั้งร้อย ท่านที่เป็นธรรมกาย ท่านตรวจดูได้ เราถูกมารหลอกให้เรียนกัมมัฏฐาน แบบเฉียด ๆ เฉี่ยว ๆ มาแล้วกี่ชาติ คำแปลบาลี มารมันก็ดลใจให้เราเข้าใจเคลื่อน อรรถและสาระมันก็ให้เขาเข้าใจเคลื่อน ที่ตั้งของใจมันก็ให้เราเข้าใจไปอีกอย่าง
หากตำราที่ถูกต้องยังมีอยู่ เพื่อนก็เข้ายึดสุดละเอียดของผู้ปกครอง ให้คนของเขาเข้ามามีอำนาจ เกิดศึกรบพุ่ง บ้านแตกสาแหรกขาด เผาพระพุทธรูป เผาตำรา แม้พระไตรปิฎกก็ไม่เหลือหรอ เหตุการณ์ดังกล่าวมีมาแล้ว เราทราบกันทุกคน รวมตำรากันใหม่ รจนากันใหม่ ได้ครบบ้างไม่ครบบ้าง ตำราดี ๆ ความรู้ถูกต้องของเรา สูญหายไปเท่าไร นี่คือ ฤทธิ์เดชของพระพุทธเจ้าภาคมารเขา เขาทำทุกอย่างที่จะไม่ให้เราเห็นของจริง
เราท่านต่างแสวงหาของจริง เพราะเกิดมาแล้ว มีหน้าที่จะต้องสร้างสมอบรมบามีติดตัวไปบ้าง พอขึ้นชื่อว่ากัมมัฏฐาน เราต่างให้ความสนใจ บัดนี้ เราพูดได้ว่า มีกัมมัฏฐานตำรับใดที่ไหนบ้าง ที่กำหนดใจไว้ที่ศูนย์กลางกาย คำตอบก็คือ ไม่มี มีตำรับเดียวคือ วิชาธรรมกายเท่านั้น
การที่เราไม่รู้จักศูนย์กลางกาย ไม่เอาใจไปหยุดที่
ศูนย์กลางกาย ผลร้ายเกิดแก่เรามากน้อยปานใด
ใครทราบบ้างไหม มีใครรู้เรื่องนี้บ้างไหม
เมื่อบำเพ็ญกุศล รักษาศีล ฟังธรรม หรือเจริญภาวนา เกิดดวงบุญขึ้นที่ศูนย์กลางกายนั้น เนื่องจากเราไม่ทำใจหยุดใจนิ่งที่ศูนย์กลางกายนี้เอง มารมันก็ระเบิดเอาดวงบุญของเราไปแล้วเท่าไร เราลงทุนทอดผ้าป่า ทำกฐิน และการบุญสารพัด เกิดบุญแก่เราแล้วเท่าไร เราไม่ทราบ เพราะเราไม่เห็น เหตุที่เราไม่เห็น เพราะเราไม่เห็นธรรมคือ ไม่เห็นธรรมกาย เนื่องจากเราไม่เห็นธรรมกาย เราจึงไม่เห็นดวงบุญ ได้ยินแต่เขาว่า ได้บุญได้บุญ ได้ยินแต่อย่างนี้ เมื่อเป็นธรรมกายแล้ว ต้องฝึกให้แก่กล้า จะได้เห็นดวงบุญตัวจริงกันในครั้งนี้
วิธีคำนวณดวงบุญ
ช่วงเวลาที่พระสงฆ์ “ยถา สัพพี และสวดอนุโมทนา” ให้ท่านปฏิบัติดังนี้
- สำหรับท่านที่ยังไม่เป็นธรรมกาย
ให้ท่านบริกรรม “สัม มา อะ ระ หัง ๆๆ” จรดไว้ที่ศูนย์กลางกาย นึกให้ดวงบุญมีลักษณะเป็นดวงขาวใสสว่างโชติเกิดขึ้น ให้ดวงโตและใหญ่ยิ่งขึ้น เมื่อเห็นดวงใสแล้ว ให้บริกรรม “หยุดในหยุดๆ” จี้ใจกลางดวงบุญนั้น ให้ใจนิ่งและหยุดยิ่งขึ้น เป็นที่พอใจแล้ว นึกอธิษฐานฝากพระพุทธเจ้า คือธรรมกายประจำกายต่าง ๆ ไว้ และอธิษฐานอาราธนาธรรมกายนำฝากต้นธาตุ ถ้าท่านยังไม่ทราบอะไร ก็เอาเป็นว่าฝากแก่ธรรมกายประจำกายทั้ง 18 กาย ยุติกันแค่นี้
- สำหรับท่านที่เป็นธรรมกายแล้ว
ให้หยุดนิ่งกลางดวงธรรมของธรรมการพระอรหัตต์ละเอียด คำนวณดวงบุญให้ใหญ่ เสร็จแล้วนำดวงบุญนั้น ไปฝากไว้แก่ธรรมกายต้นธาตุ นี่เป็นอย่างง่าย
อย่างยาก ให้ท่านพิสดารกายทุกกาย แล้วรวมไว้ในธรรมกายพระอรหัตต์ละเอียด ธรรมกายพระอรหัตต์ละเอียด อยู่ในศูนย์กลางกายมนุษย์ ให้ทุกกายช่วยคำนวณ แล้วนำดวงบุญรวมกันหมด ฝากไว้ต่อกายธรรมต้นธาตุ ส่วนดวงบุญที่เป็นกำไร ก็อธิษฐานให้ธรรมกายประจำกายรักษาไว้
เหตุผลที่นำฝากต้นธาตุ
ก็เหมือนฝากเงินธนาคาร ธนาคารเล็ก ๆ ย่อมไม่เกิดความมั่นคง เราก็ต้องฝากธนาคารใหญ่ เงินของเราจะได้ไม่สูญหาย การเก็บรักษาดวงบุญมีอุปมาเช่นนั้น
เพราะธรรมภาคมารเขาจ้องจะระเบิดเพื่อนำไปเป็นของเขา
ยามใดที่ใจของเราไม่หยุด และวางใจไม่ถูกศูนย์กลางกาย ยามนั้น
มารเขาได้โอกาสเหมาะ ระเบิดและย่อยแยกเอาดวงบุญของเราไปแล้วเท่าไร
ดังนั้น จึงต้อง “หยุด” ไว้ และ “นิ่ง” ไว้ การหยุดและนิ่ง เป็นตัวนิโรธ เป็นตัวกำจัดทุกข์ กำจัดสมุทัย
การจรดใจไว้ที่ศูนย์กลางกาย เท่ากับปิดประตูบ้านชั้นหนึ่ง ตัวหยุดและนิ่ง เป็นผู้ให้เกิดความหนาแน่น หากหยุดน้อยนิ่งน้อย ความหนาแน่นก็น้อย ด้วยเหตุนี้ การวางใจไม่ถูกศูนย์กลางกายเป็นอันตรายมาก
อ่านเพิ่มเติมใน >>> หนังสือคู่มือวิปัสสนาจารย์ หน้า 140